สาเหตุ

     สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ หากมองในกรอบของประวัติศาสตร์ช่วงเวลายาว (Long Duration) พบว่า หลังจากสงครามครั้งใหญ่ระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมัน เมื่อ ค.ศ. 1870 ยุโรปได้ว่างเว้นจากสงครามมา 4 ทศวรรษ โดยรัฐต่างๆ ในยุโรปอยู่ในสภาวะของการเตรียมพร้อมเพื่อทำสงครามกัน เนื่องจากปัญหาความไม่ลงรอยและความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ ได้แก่

1) ความหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ระหว่างกลุ่มประเทศพันธมิตรสามฝ่ายหรือกลุ่มไตรภาคี (Triple Alliance : เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และประเทศอิตาลี) กับกลุ่มประเทศพันธมิตรสองฝ่าย (Dual Alliance : ประเทศฝรั่งเศสและประเทศรัสเซีย)
          ความหวาดระแวงระหว่างกลุ่มประเทศทั้งสองฝ่ายนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากสงครามระหว่างฝรั่งเศสและปรัสเซีย (ชื่อเดิมของ เยอรมนี ก่อนรวมแว่นแคว้นต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นประเทศเยอรมนี เมือปี 1871) ทำให้ประเทศเยอรมนีมีนโยบายชัดเจนที่จะโดดเดี่ยวฝรั่งเศสเพื่อไม่ให้ฝรั่งเศสสามารถฟื้นตัวทางการเมือง-การทหาร จนขึ้นมาเป็นภัยต่อเยอรมนีได้เช่นเดียวกัน ในการนี้เยอรมนีได้สร้างระบบพันธมิตรกับบรรดาประเทศในยุโรป ยกเว้นฝรั่งเศส ดังปรากฏว่าในปี 1873 บิสมาร์ค อัครเสนาบดี ผู้มีอำนาจสูงสุดรองจากกษัตริย์ไกเซอร์ วิลเลียมที่ 2 ของเยอรมนี ได้จัดตั้งสันนิบาตสามจักรพรรดิ (League of the three Emperors) อันประกอบด้วย จักรพรรดิแห่งเยอรมนี จักรพรรดิแห่งรัสเซีย และจักรพรรดิแห่งออสเตรีย-ฮังการี ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการปฏิวัติในประเทศต่างๆ และการขยายตัวของระบอบสังคมนิยม ตลอดจนเพื่อเป็นหลักประกันในการกีดกันฝรั่งเศสให้อยู่โดดเดี่ยว แต่ในความเป็นจริงแล้ว สันนิบาตสามจักรพรรดิต่างไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน อีกทั้งรัสเซียและออสเตรีย-ฮังการี ยังมีความคลางแคลงกันเนื่องจากในช่วงสงครามไครเมีย (Crimean War ค.ศ. 1854-1856) รัสเซียได้ขยายอำนาจเข้าไปในดินแดนที่เป็นของตุรกี อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับตุรกีเพื่อต่อต้านรัสเซีย โดยอังกฤษและฝรั่งเศสพยายามโน้มน้าวให้ออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของรัสเซีย หันมาเข้ากับฝ่ายตน ขณะที่รัสเซียก็คาดหวังว่าออสเตรีย-ฮังการีจะสนับสนุนตนเอง แต่ออสเตรีย-ฮังการี ประกาศตัวเป็นกลาง ทำให้ทั้งอังกฤษ-ฝรั่งเศส และรัสเซียต่างผิดหวังกับท่าทีของออสเตรีย-ฮังการี (โดยเฉพาะรัสเซีย) เมื่อสงครามไครเมียยุติลงด้วยความพ่ายแพ้ของรัสเซีย ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับออสเตรีย-ฮังการี จึงมีความคลางแคลงกัน ไม่ได้สนิทสนมแนบแน่น ประกอบกับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับเยอรมนี ก็มีปัญหากระทบกระทั่งกันในช่วงปัญหาตะวันออก อันเป็นผลจากการที่ชนชาติส่วนน้อยในคาบสมุทรบอลข่าน พยายามแยกตัวออกจากการปกครองของจักรพรรดิออตโตมันหรือตุรกี ซึ่งเกิดขึ้นตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยทั้งรัสเซียและเยอรมนีต่างเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
          ความคลางแคลงใจกันระหว่างเยอรมนีกับรัสเซีย ประกอบกับเหตุที่เยอรมันไม่ต้องการให้รัสเซียเติบโตขึ้นมาเป็นภัยต่อเยอรมนี ในที่สุดแล้วเยอรมนีได้ร่วมกับออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี (ในเวลาต่อมาเรียกว่า “ระบบพันธมิตรหรือระบบไตรภาคี”) ขณะที่รัสเซียเองก็เลือกที่จะร่วมมือกับฝรั่งเศส (ในเวลาต่อมาเรียกว่า “ระบบพันธมิตรสองฝ่าย”)

          ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงให้ว่า การเมืองของยุโรป ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19-ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 อยู่ในสภาวะที่อึมครึมมีเชื้อไฟให้แก่เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งจะปะทุขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

2) ปัญหาเชื้อชาติและการเมืองในคาบสมุทรบอลข่าน
          คาบสมุทรบอลข่านเป็นที่อยู่ของคนหลายเชื้อชาติ โดยปัญหาเชื้อชาติได้ขยายตัวมากขึ้นเมื่อประเทศใหญ่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้เข้ามามีบทบาทในการหนุนหลังกลุ่มชนต่างๆ ในแถบคาบสมุทรบอลข่าน เช่น รัสเซียเข้ามาสนับสนุนกลุ่มชนชาติที่มีเชื้อสายสลาฟ (Slave) เนื่องจากการสนับสนุนดังกล่าวเป็นหนทางที่ทำให้รัสเซียสามารถขยายอิทธิพลเข้าไปในคาบสมุทรบอลข่านได้ หรือเซอร์เบีย ซึ่งเป็นประเทศของชนชาติสลาฟ ได้มีแนวคิดที่จะรวมชนชาติสลาฟไว้ด้วยกันโดยได้จัดตั้ง ขบวนการรวมชนชาติสลาฟ (Pan-Slave Movement) ขึ้น
          แต่ความต้องการของรัสเซียและของเซอร์เบีย ไม่สามารถบรรลุตามเป้าหมายได้ เนื่องจากออสเตรีย-ฮังการี ได้รวมเอาบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เข้าไว้ในราชอาณาจักรของตน การผนวกดินแดนดังกล่าวทำให้มหาอำนาจในยุโรปมีการแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนขึ้น โดยออสเตรีย-ฮังการี (ได้รับความสนับสนุนจากเยอรมนี) มีปัญหากับเซอร์เบีย (ได้รับความสนับสนุนจากรัสเซีย) ขณะที่รัสเซีย (ซึ่งไม่ลงรอยกับออสเตรีย-ฮังการี) ได้รับความสนับสนุนจากอังกฤษและฝรั่งเศส

3) เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์มกุฏราชกุมารของออสเตรีย-ฮังการี
          ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 กัฟริโล ปรินชิบ นักศึกษาชาวเซิร์บ ได้ลอบปลงพระชนม์อาร์ชดุ๊กฟรานซิล เฟอร์ดินันด์ มกุฏราชกุมารแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี พร้อมทั้งดัชเชสแห่งโฮเฮนแบร์กซ์ พระชายาของอาร์ชดยุค เฟอร์ดินันท์ โดยมือสังหารทำไปเพื่อเป็นการแก้แค้นที่ออสเตรีย-ฮังการี เข้ายึดครองบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา และขัดขวางการรวมชาวสลาฟของเซอร์เบีย
          การสิ้นพระชนม์ของอาร์ชดุ๊กฟรานซิล เฟอร์ดินันด์ ทำให้ออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งต้องการปราบปรามการเคลื่อนไหวของพวกสลาฟในเซอร์เซีย ใช้เรื่องนี้อ้างเป็นสาเหตุเพื่อลงโทษเซอร์เบีย ซึ่งถูกสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารมงกุฏราชกุมารของออสเตรีย-ฮังการี โดยเรื่องนี้กลายเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น เนื่องจากในวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ออสเตรีย-ฮังการี ได้ยื่นคำขาดแก่เซอร์เบียให้ตอบเรื่องการลอบปลงพระชนม์ มกุฏราชกุมารของออสเตรีย-ฮังการี และปัญหาขบวนการต่อต้านออสเตรีย-ฮังการี ในเซอร์เบีย ภายใน 48 ชั่วโมง แต่เซอร์เบียไม่ตอบรับคำขอของออสเตรีย-ฮังการี และมีการระดมทหาร ในวันที่ 25 กรกฎาคม ศกเดียวกัน ในการนี้รัสเซียได้แสดงท่าทีสนับสนุนเซอร์เบียอย่างเต็มที่ ต่อมาในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ออสเตรีย-ฮังการี ได้ประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
          การประกาศสงครามกับเซอร์เบียของออสเตรีย-ฮังการี ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างแท้จริงของสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากประเทศที่เป็นพันธมิตรของทั้ง 2 ฝ่ายต่างเข้าร่วมตามข้อตกลงของระบบพันธมิตรที่ได้ทำไว้ นอกจากนี้ยังมีประเทศที่ไม่ได้ทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรของประเทศคู่สงครามอย่างเป็นทางการเข้าร่วมสงครามด้วย โดยรัสเซียซึ่งไม่ได้ทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับเซอร์เบีย แต่ก็คอยสนับสนุนเซอร์เบียในการเผชิญหน้ากับออสเตรีย-ฮังการี ประกาศสงครามกับเซอร์เบีย ขณะที่เยอรมนีซึ่งเป็นพันธมิตรของออสเตรีย – ฮังการี ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงสนธิสัญญากลุ่มไตรภาคีที่กำหนดให้เยอรมนี อิตาลี ออสเตรีย-ฮังการี ช่วยเหลือประเทศคู่สัญญา หากประเทศใดประเทศหนึ่งถูกฝรั่งเศสหรือรัสเซียรุกราน ดังนั้นเยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียตามด้วยฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อเยอรมนีรุกรานเบลเยียมในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 อังกฤษก็ได้กระโดดเข้าสู่สงครามด้วย


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สงครามโลกครั้งที่2

สงครามโลกครั้งที่1